9 องค์กรร้อง กมธ.สาธารณสุขให้ประชาชนเข้าถึงยา PrEP

เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการเอชไอวีเพื่อยุติปัญหาเอดส์ประเทศไทย 9 องค์กร

 

สุขภาพ

 

ร่วมยื่นหนังสือถึงกรรมมาธิการการสาธารณสุข กรณีประชาชนได้รับผลกระทบไม่สามารถเข้าถึงบริการการป้องกันเอชไอวีได้ สืบเนื่องจากประกาศของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เรื่องหลักเกณฑ์การบริหารงบประมาณของสปสช. ปีงบประมาณ 2566 ให้งบบริหารป้องกันและส่งเสริมสุขภาพประชาชนครอบคลุมเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น

ส่งผลให้ทำประชาชนผู้มีสิทธิประกันสังคม หรือสิทธิอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้สามารถเข้ารับบริการการป้องกันโรคติดเชื้อเอชไอวีได้ทุกหน่วยบริการของสปสช. ไม่สามารถรับบริการได้ เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าสิทธิบริดังกล่าวจะสามารถรับบริการได้หรือไม่ ตลอดจนหน่วยบริการตามสิทธิบางหน่วยยังไม่มีบริการด้านการป้องกันเอชไอวี ทำให้ผู้รับบริการกว่า 6 แสนคนได้รับผลกระทบจากประกาศฉบับนี้

โดยข้อเรียกร้องถึงคณะกรรมธิการการสาธารณสุขมีดังนี้

1.ในระหว่างที่งบประมาณของสปสช.อยู่ในขั้นตอนการตีความของศาลฎีกาว่าสามารถให้บริการสิทธิอื่นๆ ได้หรือไม่นั้น ให้รัฐมนตรีลงนามให้งบประมาณดังกล่าวสามารถให้ริการการป้องกันโรคติดเชื้อเอชไอวีได้ในระหว่างรอการตีความของศาล

2.กรณีกรมสนัสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้ออกประกาศแนวทางการให้บริการยาป้องกันเอชไอวี (PrEP) ในสถานพยาบาลและองค์กรภาคประชาสังคมที่ให้บริการยาป้องกันโรคเอชไอวีอยู่ในขณะนี้ ว่าหากองค์กรภาคประชาสังคมจะยังให้บริการจ่ายยาป้องกันโรคติดเชื้อเอชไอวีจำเป็นต้องให้บริการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ส่งผลให้หน่วยบริการยาป้องกันเอชไอวีอย่างน้อยๆ สองแห่งต้องหยุดให้บริการ เนื่องจากต้องหาตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐมาจัดให้บริการใหม่อีกครั้ง รวมทั้งแนวทางที่ได้ประกาศออกมาไม่มีความแน่ชัดว่าองค์กรภาคประชาสังคมที่ให้บริการยาป้องกันโรคสมารถสต็อกยาจ่ายให้กับผู้มารับบริการในวันเดียวกัน จึงเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกแนวทางที่ชัดเจนและรับรององค์กรภาคประชาสังคมให้อยู่ในระบบของกระทรวงสาธารสุขว่าเป็นหน่วยงานที่สามารถให้บริการจ่ายยาป้องกันเอชไอวีและมียาจัดเก็บไว้ที่หน่วยบริการเพื่อยังประโยชน์ให้กับผู้มารับบริการทันทีได้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม คลิ๊กเลย >> เตือนนักท่องป่า เข้าโพรงต้นไม้ใหญ่ อันตรายกว่าที่คิด เสี่ยงปอดติดเชื้อรา เจอจุดเพียบ

เตือนนักท่องป่า เข้าโพรงต้นไม้ใหญ่ อันตรายกว่าที่คิด เสี่ยงปอดติดเชื้อรา เจอจุดเพียบ

นพ.มนูญ เตือนนักท่องป่า เข้าโพรงต้นไม้ใหญ่ ระวังป่วยจากเชื้อรามูลค้างคาว ทำปอดมีจุดเพียบ เตือนใครเคยไปควรไปพบแพทย์เพื่อเอกซเรย์เช็กไว้

วันที่ 6 ตุลาคม 2565 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC โพสต์เตือนภัยคนที่ไปท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ บางครั้งอาจจะเคยเห็นโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งจากนี้ต้องระวังในการเข้าไปเพราะอาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีผลให้ปอดได้รับความเสียหาย โดยระบุว่า

สุขภาพ เชื้อรามูลค้างคาว

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า การเดินเข้าไปในโพรงต้นไม้ใหญ่ในป่า เพื่อชมค้างคาวในเวลาเพียง 2-15 นาที จะหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราฮิสโตพลาสมา แคปซูลาตุม (Histoplasma capsulatum) ที่ลอยขึ้นมาในอากาศจากมูลค้างคาวที่ตกลงบนพื้นดิน เข้าไปในปอด ทำให้ป่วยเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis)

มีคณะเดินทางศึกษาธรรมชาติเข้าไปในโพรงต้นไม้ เท่าที่ทราบ 7 ใน 10 คนของคณะนี้ หลังเข้าโพรงต้นไม้ 2-3 สัปดาห์ บางคนเริ่มป่วย ไอ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เอกซเรย์ปอด 7 คน มีจุดขนาดแตกต่างกันกระจายทั่วปอด ไล่ตั้งแต่คนมีจุดเล็กที่สุดในปอดขนาด 3 มิลลิเมตร ไปถึงคนที่มีลักษณะเป็นก้อนขนาด 1 เซนติเมตร กระจายทั่วปอด คนที่มีก้อนในปอดพิสูจน์แล้วว่าเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส ด้วยการตัดชิ้นเนื้อจากปอด พบเชื้อรา Histoplasma capsulatum เจริญเติบโตแบ่งตัวในปอด

โดยต้นไม้ที่มีโพรงนี้ ชื่อไทย “ช้าม่วง” เป็นต้นไม้กลุ่มวงศ์ยาง อายุกว่า 100 ปี สูงกว่า 40 เมตร โพรงต้นไม้นี้เกิดตามธรรมชาติ โพรงแคบ เข้าได้ทีละคน ต้องก้มศีรษะเพื่อเข้าในโพรง มีพื้นที่ในโพรงให้คนเข้าไปได้ 6-7 คน ความสูงของโพรง 3 เมตร เป็นที่พักอาศัยของ “ค้างคาวแวมไพร์แปลงเล็ก” บริเวณที่ค้างคาวอยู่สูงถึง 5 เมตรจากพื้น ค้างคาวชนิดนี้อาศัยในถ้ำและโพรงต้นไม้ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้อยู่ในป่าที่สมบูรณ์ โชคดีไม่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม เพราะต้องให้คนในพื้นที่พาเดินเข้าไป อยู่ในบริเวณคลองวังหีบ หนานตากผ้า ต.นาหลวงเสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

แนะนำว่าใครที่เคยเข้าไปในโพรงต้นไม้ต้นนี้ โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย ควรไปหาแพทย์ขอทำเอกซเรย์ปอด และแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าตัวเองอาจติดเชื้อราที่ก่อโรคฮิสโตพลาสโมซิส คนที่อายุน้อยสุขภาพแข็งแรง แม้ติดเชื้อราแต่ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ หายเองได้ ไม่ต้องรักษา แต่คนที่อายุมากมีโรคประจำตัว ต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา